วิตามินซี ฟอร์มไหนดีสุดสำหรับผิว

วิตามินซี ฟอร์มไหนดีสุดสำหรับผิว ฟอร์มของวิตามินซีเรียกอีกอย่างได้ว่า อนุพันธ์ของวิตามินซี

วิตามินซี มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่มีสาเหตุมาจากรังสียูวีได้ดีเยี่ยม ช่วยลดการสร้างเม็ดสี จุดด่างดำ เหมาะกับประเทศไทยอย่างเราที่มีแดดออกไม่เว้นแต่ละวัน เอาเป็นว่าทุกฤดูเลยก็แล้วกัน

แต่ตัวมันขึ้นชื่อเรื่องความไม่คงตัว ทาไปแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะผ่านชั้นผิวหนังเราได้ง่ายๆ เผลอๆ สิ่งที่เราทาไปนั้น มันอาจแค่แปะไปบนผิวให้รู้สึกแสบๆ คันๆ

เอ้า …ตอนนี้กำลังสงสัยอยู่ใช่ไหมล่ะว่า แล้วอย่างงี้เราจะเลือกใช้ครีม หรือเซรั่มยี่ห้อไหนดี ที่มันได้ผลที่สุด

อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจล่ะ เพราะผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแต่ละชนิดมีแบบฟอร์มของวิตามินซี ที่แตกต่างกัน

และแต่ละแบบฟอร์มมีประสิทธิภาพแตกต่างกัน จึงส่งผลให้ผลิตภัณฑ์หลายยี่ห้อมีราคาแตกต่างกัน

มามะ ตามมาดูกันเลย ( ´ ▽ ` )ﾉ

1. L-Ascorbic acid (AA หรือ LAA)

เป็นฟอร์มออกฤทธิ์ตามธรรมชาติของวิตามินซี ละลายน้ำได้ดี แถมมีประสิทธิภาพที่ดีมากๆ

แต่!! มีดีก็ต้องมีเสีย ..ข้อเสียของฟอร์มนี้คือ มันไม่คงตัวสุดๆ เมื่อเจออากาศ เราจะสามารถสังเกตความไม่คงตัวจากผลิตภัณฑ์ของเราได้เมื่อมันเปลี่ยนเป็นสีเหลือง

LAA จะคงตัวดีใน pH เป็นกรดน้อยกว่าหรือเท่ากับ 3.5 ในสภาวะที่ไม่มีน้ำ ดังนั้นผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ที่ใช้รูป L-Ascorbic acid จะมีส่วนผสมของซิลิโคนแทนส่วนของน้ำในปริมาณสูง

ด้วยปัญหาความไม่คงตัว การซึมผ่านผิว และปัญหาการระคายเคืองจึงทำให้มีการคิดค้น สร้างอนุพันธ์ของวิตามินซีฟอร์มต่างๆ ขึ้นมามากมาย ทั้ง Ascorbyl palmitate

2. Ascorbyl palmitate

เป็นฟอร์มรูปเอสเทอร์ของ ละลายทั้งในน้ำและไขมัน เนื่องจากผิวเราก็มีส่วนที่เป็นไขมัน การที่ Ascorbyl palmitate สามารถละลายในไขมันได้ จึงทำให้ตัวมันสามารถซึมผ่านผิวได้ดีกว่า L-Ascorbic acid ส่งผลให้ความชุ่มชื้นที่มากกว่า ออกฤทธิ์ได้ยาวนานกว่าและคงตัวกว่าฟอร์ม  L-Ascorbic acid นั่นเอง

3. Magnesium ascorbyl phosphate (MAP) หรือ L-Ascorbyl 2-phosphate, Magnesium salt

ฟอร์ม MAP ละลายน้ำเช่นเดียวกับ LAA ข้อดีคือ มีความอ่อนโยนต่อผิวมากกว่าเนื่องจากมันสามารถคงตัวใน pH ปกติ (ประมาณ 7)  จึงเหมาะกับคนที่มีปัญหาผิวแพ้ง่ายไวกับกรด

เราจะเห็นฟอร์มของวิตามินซีชนิดนี้ได้ในครีม โลชั่น หรือแม้กระทั่งแป้ง

แต่ข้อเสียของฟอร์ม MAP คือ มีประสิทธิภาพด้อยกว่า LAA อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบในชั้นผิวลึกๆ MAP สามารถออกฤทธิ์ได้ดีกว่า

4. Ascorbyl tetra isopalmitoyl (ATIP)

เป็นอีกหนึ่งฟอร์มอนุพันธ์ของวิตามินซี มีความคงตัว สามารถละลายไขมันได้ และระคายเคืองน้อยกว่า LAA มันสามารถลดการเกิดจุดด่างดำที่มีสาเหตุจากรังสียูวีได้แม้จะใช้ในความเข้มข้นต่ำ แต่ผลด้านการต้านอนุมูลอิสระยังต่ำกว่า LAA และ MAP

5. Sodium ascorbyl phosphate (SAP)

เป็นฟอร์มที่ละลายน้ำได้ แต่มีฤทธิ์ที่อ่อนกว่า MAP

SAP ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดีทีเดียว สามารถต้านการเกิดสิว และมีความคงตัวดีเมื่อเก็บในภาชนะปิดสนิทในอุณหภูมิห้องได้ถึง 2 ปี

6. Ascorbyl  tetraisopalmitate (VC-IP)

เป็นแบบฟอร์มที่ละลายได้ในน้ำมัน เพื่อใช้ดูดซึมเข้าสู่ผิวได้ดีและซึมลึกกว่าฟอร์มปกติ นิยมใช้ในประเทศญี่ปุ่นและเกาหลี

ข้อดีคือ ประสิทธิภาพให้ความขาวใสสูงกว่าแบบฟอร์มปกติ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ยับยั้งการเกิดลิปิดเปร์ออกซิเดชั่น (Lipid peroxidation)

Lipid peroxidation เป็นกระบวนการเกิดปฏิกิริยาของไขมันและออกซิเจนในร่างกายทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดความแก่

แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นสูตรที่มีการปรับปรุงให้มีความเสถียรมากขึ้น แต่ว่ามันก็ยังเสื่อมสภาพเร็ว เรามักพบฟอร์มนี้ร่วมกับวิตามินซีฟอร์มอื่นที่มีความคงตัวกว่า

7. Trisodium ascorbyl palmitate phosphate (APPS)

APPS เป็นรูปแบบที่สามารถละลายได้ทั้งในน้ำละน้ำมัน ทำให้ดูดซึมเข้าสู่ผิวได้ดีและสามารถดูดซึมเข้าไปได้ลึกถึงชั้นผิวหนังแท้ ขณะที่วิตามินซีฟอร์มธรรมชาติจะถูกดูซึมแค่ชั้นผิวหนังชั้นนอก

ดังนั้น ขณะนี้ LAA เป็นผู้ครองแชมป์ไปในด้านประสิทธิภาพ ดังนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่ให้เราดูรายการสูตรหลังกล่องผลิตภัณฑ์ก่อนตัดสินใจซื้อว่ามี LAA อยู่บนรายชื่อหรือไม่ เมื่อเราหาเจอแล้ว ควรพิจารณาว่าในสูตรที่เราตัดสินใจเลือกซื้อนั้นมีส่วนประกอบของซิลิโคนมากน้อยแค่ไหน ถ้าคุณเป็นคนผิวแพ้สารกลุ่มซิลิโคน หรือกังวลเรื่องสิวอุดตัน ควรเลือกตัดสินใจผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบอนุพันธ์อื่นๆ ทดแทน

นอกจากฟอร์มของวิตามินซีแล้ว ความเข้มข้นก็มีผลต่อประสิทธิภาพเช่นกัน สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ วิตามินซี ทาที่ความเข้มข้นเท่าไหร่ดี ?